Digital Service
- 20 ต.ค. 64
-
2465
-
Insight-driven Marketing เพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและงานขายอย่างไร ด้วยข้อมูลเชิงลึก
การทำการตลาดโดยใช้ข้อมูลเชิงลึกถือว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน ที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับแผนการตลาด อีกทั้งยังสามารถใช้เครื่องมือที่หลากหลายมาเพื่อช่วยวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดเพื่อให้สามารถจับเทรนด์ได้ก่อนใคร
แล้วจะทำอย่างไรในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อสร้างงานขายให้ปัง ด้วยข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่เราอาจมองข้าม สำหรับธุรกิจ SMEs วิธีในการเลือกใช้เครื่องมือ (e-Tool) ในการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ (CRM : Customer Relationship Management) เพื่อเข้าใจลูกค้า เข้าใจตลาด เพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจให้มากขึ้น
Exclusive Workshop “Insight-driven Marketing Workshop เพิ่มประสิทธิภาพการขายอย่างไรด้วยข้อมูลเชิงลึก” ได้เชิญ ชลธิชา แสงพันธุ์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Analytist บริษัทที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด ในเวที Virtual Series EP.3 CRM for SMEs : Boost Your Customers’ Experience, Boost Your Business ในโครงการ e-Solution Opportunity Enabler for SMEs โดยความร่วมมือระหว่าง สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ Electronic Transactions Development Agency (ETDA) (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ Techsauce เพื่อ Transform ธุรกิจ SMEs ให้พร้อมกับการทำงานยุคใหม่
เพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและการขายด้วยข้อมูลเชิงลึก
ในการทำธุรกิจมีข้อมูลหลากหลายประเภท เช่น ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เพศ อายุ การศึกษา ประวัติการซื้อสินค้า หรือประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ ที่เราสามารถนำมาประกอบเพื่อสร้างเป็นข้อมูลเชิงลึก โดยประโยชน์ของข้อมูลเหล่านี้คือ จะทำให้เรารู้ใจลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจในการเสนอสินค้าให้กับลูกค้าได้ถูกต้องตามกลุ่มเป้าหมาย มีประสิทธิภาพ และเป็นที่พึงพอใจของลูกค้า ทำให้เกิดการซื้อขายต่อไปในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น
- เข้าใจลูกค้ามากขึ้น
- เข้าใจตลาดมากขึ้นและเห็นตลาดมากขึ้น
- ลดต้นทุน
- ลดการสูญเสีย
- เพิ่มยอดขาย เพิ่มโอกาส
เครื่องมือที่ดีจะช่วยจัดการข้อมูลได้ง่ายขึ้น จับเทรนด์ได้ทัน ใช้สร้างจุดแข็งเอาชนะคู่แข่ง
ตัวอย่างเครื่องมือที่จะทำให้เข้าใจตลาดได้มากขึ้น เช่น “Google Search Trends” ซึ่ง ชลธิชา มองว่าเป็นเครื่องมือที่ฟรีและดี เนื่องจาก 80% ของลูกค้าจะใช้ Google เสิร์ชก่อนทำการซื้อสินค้าใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะการประกอบการตัดสินใจซื้อในครั้งแรก ซึ่ง Google ได้แบ่งปันข้อมูลการเสิร์ชผ่านเครื่องมือตัวนี้ พร้อมแนะนำวิธีการใช้งานเพื่อดูสิ่งค้นหายอดนิยม ซึ่งสามารถเสิร์ชจากคำที่เราต้องการ และดูเป็นรายปีว่าสิ่งนั้นเป็นที่นิยมช่วงไหน
อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบสินค้าได้ และสามารถรู้ได้ว่าการเสิร์ชเกิดขึ้นในจังหวัดไหนของประเทศมากที่สุด โดยมีความเข้มของสีแยกตามพื้นที่จังหวัดบนแผนที่ประเทศไทย ทำให้รู้ถึงตลาดว่าในช่วงเวลานั้นอะไรกำลังเป็นที่นิยมเพื่อนำมาใช้วางแผนงานการตลาด
อีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจเพื่อใช้จับตาดูว่าเทรนด์อะไรกำลังมา คือ เว็บไซต์ Social.gg โดยจะมีหมวดสินค้าหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็น หมวดความสวยความงาม หมวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหาร การศึกษา หรือหมวด e-Commerce ซึ่งจะแสดงผลโดยแบ่งเป็นประเภท Top Trend และ Most Recent เพื่อดูว่าสิ่งไหนกำลังเป็นกระแสหรือมาใหม่ล่าสุด หรือในกรณีที่มีการจ้าง Influencer ก็สามารถใช้ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบความนิยมและดูแนวทาง Content และ Influencer ของคู่แข่งได้
นอกจากนี้ ยังเครื่องมือที่ใช้เปรียบเทียบเว็บไซต์ของเราและของคู่แข่ง เช่น Similarweb.com โดยสามารถเปรียบเทียบยอดผู้ใช้งานในเว็บของเราและของคู่แข่ง ซึ่งจะแสดงว่าผู้ใช้เข้ามาดูกี่หน้าเพื่อนำมาประเมินคู่แข่ง และยังแสดงให้เห็นว่าสื่อไหนที่ผู้ใช้เข้ามาถึงเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูลว่าผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ใดก่อนที่จะเข้ามายังหน้าเว็บของเรา
“หลักการของการซื้อมาขายไปส่วนใหญ่ คือการที่เราจับเทรนด์ได้ทันเวลา เพราะว่าเราไม่ได้เป็นผู้ผลิต หมายความว่าถ้าเกิดคุณจับ Demand ในตลาดให้ทันและคุณหาสินค้าได้ถูกหรือว่าได้เจ๋งกว่าคนอื่น และรู้ว่าต้องขายให้ใคร Tools ที่เราแนะนำมาใช้ได้หมดเลย เพียงแต่ต้องขยันหาขยันเสิร์ชแล้วจะเจอ เมื่อก่อนยากมากที่จะรู้ว่าคนต้องการอะไร ต้องทำรีเสิร์ชเท่านั้น มีต้นทุนเป็นล้าน วันนี้นักธุรกิจ SMEs ทุกท่านโชคดีมากที่มี Tools ต่างๆ มากมายให้ใช้ อยากจะให้พยายามทดลองใช้ให้มากที่สุด”
นอกจากนี้ ในส่วนของ ชลธิชา เอง ก็ยังได้พัฒนาเครื่องมือของตนเอง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น คือ www.MarketingAnalyticsAutomation.com โดยเป็นระบบวิเคราะห์ข้อมูลการขายอัตโนมัติ เพื่อวิเคราะห์ Customer Insight เพียงนำ Data ของร้านเข้าระบบก็จะมีแสดงรายการยอดขายว่าช่วงไหนขายดี สินค้าตัวไหนขายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลง และยังมีการแสดงผลวิเคราะห์อัตราการซื้อซ้ำ แสดงผลลูกค้าประจำเพื่อช่วยในการรักษาฐานลูกค้าเก่า
เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
“เราอาจจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ที่เป็นนักการตลาด หรือในที่นี้อาจจะมีไอทีอยู่ด้วย ต้องเริ่มให้ถูกที่ถูกทางก่อน”
การนำข้อมูลมาจัดแบ่งจะช่วยให้มองเห็นทิศทางของการทำตลาดได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หากเริ่มต้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบตั้งแต่แรกจะทำให้การวิเคราะห์ลูกค้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น ซึ่ง ชลธิชา ก็ได้แสดงตัวอย่างการนำข้อมูลไปทำ Visualize บน Data Project และสามารถทำออกมาเป็น Sales by Segment เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้า ซึ่งเมื่อจัดประเภทของลูกค้าแล้วจะทำให้เห็นตัวอย่างของลูกค้าที่หายไปหากเราเริ่มต้นทำอย่างเป็นระบบจะ ทำให้เรามองเห็นปัญหาและหาวิธีแก้ไขได้ทันเวลาและแก้ไขได้อย่างตรงจุดถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าหายไป
การทำ CRM ต้องเน้นเรื่องการบริหารลูกค้าทั้งใหม่และเก่า หรือจะดูเป็นพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำมาจัดกลุ่มเพื่อจัดโปรโมชั่นให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และหากเริ่มต้นเร็วและดีเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้นทำให้สามารถจับทิศทางการขายได้พร้อมสร้างโอกาสการเพิ่มยอดขายเอาชนะคู่แข่งในตลาด
นอกจากนี้ ยังได้สาธิตการทำ Data Project Canvas เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้มองเห็นปัญหาในการทำธุรกิจจากการนำข้อมูลที่มีอยู่มาวิเคราะห์ พร้อมทราบถึง Pain Point ที่ต้องปรับแก้ และการมองหาระบบที่ช่วยจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แล้วเมื่อไหร่ที่ธุรกิจควรเริ่มทำข้อมูลเชิงลึก
ในการทำ Data Project จะมีการวิเคราะห์จากข้อมูลหลายส่วนด้วยกันทั้งในส่วนของงบประมาณที่มี แหล่งข้อมูล เทคโนโลยีที่จะใช้ และที่น่าสนใจคือ Pain Point ซึ่งเชื่อว่าทุกที่ที่สนใจ CRM จะมีข้อมูลในส่วนของปัญหาแต่อาจจะยังมองไม่เห็น ซึ่ง ชลธิชา ก็ได้ยกตัวอย่าง Pain Point ที่พบได้โดยจะมีทั้งปัญหาของการไม่จัดการข้อมูลซึ่งจะทำให้ไม่ทราบว่าลูกค้ากลุ่มไหนหายไป และอาจจะมองไม่เห็นภาพว่า Segment ไหนสำคัญต้องเก็บข้อมูลส่วนไหนไว้บ้าง หรือในส่วนของการขายก็อาจจะไม่ทราบว่าควร Cross-sell ให้กับลูกค้ากลุ่มไหนบ้าง
และสำหรับปัญหาของแบรนด์ที่ไม่มีข้อมูลติดต่อลูกค้า การเก็บงานออฟไลน์ยังคงเก็บในรูปแบบกระดาษ และยังไม่เคยแบ่งกลุ่มลูกค้าว่าเป็นลูกค้าใหม่ลูกค้าเก่าหรือลูกค้าประจำ หากทราบข้อมูลในจุดนี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีในเรื่องของการเพิ่มยอดขายและช่วยในการรักษาฐานลูกค้าไว้ได้
เมื่อทราบเครื่องมือและความจำเป็นของการเพิ่มประสิทธิภาพการขายด้วยข้อมูลเชิงลึกแล้วอาจเกิดความสงสัยว่า ต้องมีข้อมูลเท่าไหร่ถึงควรจะเริ่มทำ Data Project ในประเด็นนี้ ชลธิชา แนะนำว่าหากเริ่มทำ Data Project ในช่วงที่มีข้อมูลเยอะจะยิ่งจัดการข้อมูลได้ยากยิ่งขึ้น เพราะหากข้อมูลมีจำนวนมากเกินกว่าจะเก็บไว้ใน Excel ทำให้จะต้องไปใช้ Tools ที่มีค่าใช้จ่ายถึงจะทำงานได้ หรืออาจต้องใช้ Data Engineer เข้ามาช่วยเพราะต้องจัดระเบียบข้อมูล
ขณะเดียวกันหากมีข้อมูลไม่พอหรือมีข้อมูลที่ขาดหายไปจะทำให้ภาพจากการวิเคราะห์ออกมาไม่ตรง อย่างไรก็ตาม ก็แนะนำว่าควรจะทำเลย เพื่อที่จะได้รู้ว่าต่อไปควรจัดการ Data อย่างไรและจะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด
Data Project ควรจะทำเลย เพื่อที่จะได้รู้ว่าต่อไปควรจัดการ Data อย่างไรและจะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด