Digital Trend
- 11 ก.ค. 67
-
337
-
ETDA พาล้วงเรื่อง (ไม่) ลับฉบับ AI Marketing ผู้ช่วยนักการตลาด “ปลุก ปั้น ปรับ” แบรนด์ให้โดนใจ
เคยไหม…เวลาที่คุยๆ เรื่องอะไรอยู่ ไม่นานก็จะมีโฆษณาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โผล่ขึ้นมาแนะนำเราในเฟซบุ๊ก หรือแค่เดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า คุณก็จะได้รับข้อความเชิญชวนซื้อของหรือได้รับการแนะนำโปรโมชั่นดี ๆ จากร้านค้าในห้าง… ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะไม่ว่าจะทำอะไร AI กำลังจับจ้องคุณอยู่ ทุกครั้งที่คุณท่องโลกโซเชียล AI จากแต่ละแพลตฟอร์มจะเก็บข้อมูลการเล่นโซเชียลของคุณ เรียนรู้ จดจำพฤติกรรมต่างๆ และนำเสนอคอนเทนต์หรือโฆษณาที่ใกล้เคียง ตรงกับความสนใจหรือเลือกสิ่งที่มีแนวโน้มว่าคุณจะซื้อมากที่สุดให้คุณเสมอ ทำให้หลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะซื้อหรือใช้บริการตามที่ AI คัดมาให้ นี่คือหนึ่งในความสามารถที่ทำให้ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในแวดวงการตลาด ซึ่งจากรายงานของ MSpoweruser ระบุว่า มากกว่า 73% ของเหล่านักการตลาดใช้ AI เป็นตัวช่วยในการทำงาน และปัจจุบันเครื่องมือ AI ที่ใช้ในการตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 15.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่า AI กลายเป็นผู้ช่วยสำคัญและมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต
ไทยเองมีผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มนำ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยทำการตลาดและเห็นผลสำเร็จ แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในสถานะกล้าๆ กลัวๆ และรู้สึกยังไม่พร้อม มีความกังวลที่จะนำ AI มาใช้ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งส่งเสริมสนับสนุนให้คนไทยมีความตระหนักและนำ AI ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างเหมาะสม โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้จัด ETDA LIVE ชวนตัวจริงแห่งวงการการตลาดมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองมาพาทุกคนเปิดใจและทำความรู้จัก ‘AI Marketing’ ให้มากขึ้น
AI กับบทบาทสุดปังในวงการ Marketing
หัวใจสำคัญของการทำการตลาด คือ การเข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งโจทย์ใหญ่ที่นักการตลาดต้องพบคือ ทำอย่างไร? จะรู้ได้ว่า คนที่เราต้องการสื่อสารด้วยเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน โดยเฉพาะผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ Market Segmentation มีความหลากหลาย กลุ่มเป้าหมายมีความละเอียดและซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งก่อนยุคดิจิทัลจะเข้ามา การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ต้องใช้กำลังคนและเวลาในการเก็บข้อมูล ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ทำรีเสิร์ช วิเคราะห์ข้อมูล สิ้นเปลืองทั้งกำลังคน เวลา และงบประมาณจำนวนมาก แต่กระบวนการเหล่านี้สามารถย่นระยะเวลาและทำให้ง่ายขึ้นได้ด้วย AI เพราะหนึ่งในความสามารถอันโดดเด่นของ AI คือ สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล (BIG DATA) ที่ดึงมาจากแหล่งต่างๆ ได้ และนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายในทุกขั้นตอน ทั้งทำให้เห็น Customer Insights ช่วยวิเคราะห์ทำนายพฤติกรรมลูกค้า ทำให้รู้ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมอย่างไรก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น เข้าชมเว็บไซต์กี่ครั้ง คลิกแบนเนอร์โฆษณาหรือเปล่า มีความชอบหรือสนใจ หรือรู้สึกอย่างไรต่อสินค้าและเหมาะกับสินค้าตัวไหน รวมถึงมีแนวโน้มจะซื้อหรือไม่ซื้อ ช่วยให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ สื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงประเด็นมากขึ้น เลือกเจาะเฉพาะกลุ่มที่มีโอกาสซื้อสูงได้ ไม่สูญงบประมาณไปกับการโฆษณาแบบหว่าน ช่วยสะท้อนเทรนด์ในปัจจุบัน เกิด Real-time Marketing เกิดการปรับกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น สร้างสรรค์แคมเปญส่งเสริมการขายได้อย่างตรงใจกลุ่มเป้าหมาย มีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างโอกาสในการเจาะกลุ่มเป้าหมาย หรือ Personalized Marketing ที่เข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำและนำเสนอสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมได้ในระดับปัจเจกบุคคล ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาค้นหาสินค้าด้วยตัวเองและเกิดความประทับใจจนกลับมาซื้อซ้ำ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว และที่สำคัญ ช่วยวิเคราะห์คู่แข่งได้อย่างเจาะลึก สามารถช่วยหาข้อมูลเชิงลึกของคู่แข่ง วิเคราะห์ และ สรุปผลได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการทำ SWOT Analysis รวมถึงประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อนำไปพัฒนากลยุทธ์และเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
AI ตัวช่วยที่ใช่ นักการตลาดคนไหนก็ชอบ
ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นว่า นอกจากช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำแล้ว AI ยังเป็นผู้ช่วยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร โดยเฉพาะในวงการเอเจนซี่ ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านทำงานได้ง่ายขึ้น กว้างขึ้น และเร็วขึ้น หากฉายภาพให้ชัดขึ้นคือ AI ช่วยผ่าทางตัน เพราะเปรียบเหมือนเพื่อนคนเก่งที่มีคลังความรู้มหาศาลมาช่วยคิด วิเคราะห์ เพิ่มโอกาสในการมองเห็นไอเดียใหม่ๆ เพิ่มทางเลือกใหม่ ช่วยให้การตัดสินใจถูกต้องแม่นยำขึ้น ช่วยให้ทำน้อยแต่ได้มาก ผ่านมุมการเร่งกระบวนการทำงานที่ยุ่งยากหลายขั้นตอนให้ทำได้เร็วขึ้น แต่ใช้คน ใช้งบประมาณน้อยลง ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งในเชิง Productivity และรายได้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มทางเลือกต่างๆ ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้อย่างเรียลไทม์ เช่น ทดลองทำคอนเทนต์ตัวอย่าง 4 คอนเทนต์ แล้วนำไปทดลองยิงโฆษณาโปรโมท จากนั้นรอดูผลหลังเผยแพร่ หากพบว่า คอนเทนต์ไหน Engagement ไม่ดี เข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายก็อาจปิดไปและนำงบโฆษณาไปทุ่มที่คอนเทนต์ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า นอกจากนี้ ช่วยให้สื่อสารกันได้อย่าง “เห็นภาพ” มากขึ้น กับการทำให้ไอเดียเป็นรูปเป็นร่างได้ด้วย Storyboard ที่ Generate ด้วย AI เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างทีมงานในองค์กร รวมถึงการสื่อสารกับลูกค้าให้เห็นภาพที่ชัดเจน ตรงกัน ช่วยประหยัดเวลา และลดข้อผิดพลาดต่างๆ ได้ดีขึ้น และอีกเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า AI จะทำได้ คือ ช่วยเสริมความยั่งยืนขององค์กร โดยสามารถนำองค์ความรู้ กระบวนการทำงาน ประสบการณ์ หรือผลงานต่างๆ ขององค์กรมาใช้สอน AI ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึง ทำความเข้าใจและถ่ายทอดได้ ช่วยลดความเสี่ยงขององค์กรในกรณีที่มีพนักงานที่มีความรู้และประสบการณ์ลาออก ทำให้พนักงานที่มาใหม่สามารถเรียนรู้งานได้ในเวลาอันรวดเร็วและรับช่วงต่อได้แบบไม่มีสะดุด
AI ใช้อย่างไรให้ปัง สร้างพลังให้งานมาร์เก็ตติ้ง
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเริ่มกังวลว่าถ้า AI ทำได้ขนาดนี้ แล้วจะมาแย่งงานมนุษย์ หรือ นักการตลาดหรือไม่ อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะผู้เชี่ยวชาญต่างยืนยันตรงกันว่า แม้ AI จะดูเก่งไปทุกเรื่อง แต่ยังทำได้แค่เป็น “ผู้ช่วยคนเก่ง” ของเราเท่านั้น พร้อมแนะนำการใช้ AI ให้ปัง สร้างพลังให้งานการตลาด ดังนี้
AI เป็นเทคโนโลยีที่ถูกวางโปรแกรมไว้ ดังนั้นข้อมูลจาก AI อาจยังไม่ถูกต้อง 100% อาจคลาดเคลื่อนหรือไม่ทันยุคสมัยได้ ฉะนั้นจึงต้องคอยอัปเดตโปรแกรมอยู่เสมอและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้ง
AI ไม่สามารถทำงานที่มีความละเอียดและซับซ้อนมากๆ ได้ อย่างเช่น การวางกลยุทธ์ เราจงต้องแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อยๆ ก่อน และให้ AI ทำทีละส่วนที่เฉพาะเจาะจงและชัดเจนซึ่งจะช่วยให้ AI ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อัปเดตข้อมูลใหม่ๆ ให้ AI ได้เรียนรู้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีข้อมูลเฉพาะขององค์กรมาสอน AI จะยิ่งช่วยให้ AI มีความแม่นยำและทำงานได้เฉพาะเจาะจงและถูกต้องมากขึ้น เช่น หากต้องการทำ AI แชทบอท ก็ให้นำข้อมูลที่ทีมแอดมินใช้เป็นประจำและวิธีการคุยกับลูกค้าให้ AI ได้เรียนรู้ AI ก็จะพูดคุยหรือตอบโต้กับลูกค้าได้ใกล้เคียงคนจริงๆ
มอง AI เป็นเหมือนน้องในที่ทำงานที่ไม่ปล่อยให้ทำงานตามลำพัง แต่เราต้องคอยกำหนดทิศทางการทำงาน ควบคุม ดูแล ดูภาพรวม และตัดสินใจทั้งหมด
และสุดท้ายต้องใช้ AI อย่างคำนึงถึงหลักจริยธรรม ใช้อย่างมีธรรมาภิบาลและมีความรับผิดชอบ รักษาความปลอดภัยของข้อมูลไม่ให้รั่วไหล เคารพความเป็นส่วนตัว นำข้อมูลไปใช้อย่างเหมาะสม และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์
จะเห็นได้ว่าข้อกังวลเรื่อง AI กำลังจะมาแทนที่มนุษย์นั้นอาจยังไม่เป็นจริงในเร็ววันนี้ เพราะยังมีอีกหลายงานที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนมนุษย์ได้ แต่เพียงแค่มาเป็น “ส่วนเสริม” ในส่วนที่มนุษย์ทำไม่ได้หรือหากทำได้ก็ต้องใช้กำลังคน เวลา และงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งให้ AI ทำจะดีกว่า ส่วนมนุษย์ก็ทำหน้าที่กำกับดูแล เสริมในส่วนที่ AI ยังมีข้อบกพร่อง และทำงานส่วนอื่นๆ ที่ AI ยังทำไม่ได้แทน รวมถึงอย่าลืมหมั่นยกระดับทักษะอยู่เสมอ สำหรับใครที่อยากเจาะลึกเรื่อง ‘AI Marketing’ ให้มากขึ้นสามารถชม ETDA LIVE ย้อนหลังได้ที่ https://bit.ly/3z010O หรือติดตามเรื่องราวดีๆ แบบนี้ ได้ที่เพจ ETDA Thailand