Digital Citizen
- 13 ม.ค. 63
-
118942
-
Sextortion ข่มขู่กรรโชกทางเพศบนโลกไซเบอร์
- โดนแฟนเก่าขู่ว่าจะเอาภาพลับส่วนตัว ที่แฟนเคยถ่ายตอนอยู่ด้วยกันไปปล่อยบนโลกออนไลน์ โดยเรียกเงินเพื่อแลกกับการที่จะไม่ทำตามคำขู่
- เด็กสาวเปิดกล้องทำกิจกรรมทางเพศ แล้วโดนคนอีกฝั่งอัดคลิปไว้ แล้วข่มขู่ว่าจะนำไปประจาน หากไม่ส่งคลิปใหม่ไปให้ หรือออกมาเจอกัน
เหล่านี้คือการขู่กรรโชกทางเพศ ที่เรียกว่า "Sextortion"
การขู่กรรโชกทางเพศ อาจเริ่มต้นด้วยการเข้ามาขอเป็นเพื่อนผ่านช่องทางต่าง ๆ และชวนทำกิจกรรมทางเพศผ่านทางออนไลน์ กิจกรรมที่ว่านั้นประกอบด้วยการแลกกล้อง โชว์หวิว เธอเปิดกล้องของเธอ ฉันเปิดกล้องของฉัน ฝ่ายที่มาหลอกมักเริ่มโชว์ก่อนเพื่อให้เหยื่อหลงกลและตกลงทำตามโดยง่าย เมื่อเหยื่อทำตาม ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยเนื้อตัว อวัยวะปกปิด การเต้นยั่วยวน โชว์วาบหวิว หรือการสำเร็จความใคร่ โดยมีกล้องอยู่ด้านหน้า ทำหน้าที่ถ่ายทอดสดทั้งภาพและเสียงไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
มิจฉาชีพจะบันทึกภาพวิดีโอดังกล่าวไว้แล้วนำมาขู่ว่าจะเผยแพร่คลิปดังกล่าว แลกกับการส่งคลิปใหม่ ๆ หรือการเรียกโอนเงินค่าไถ่ไปให้
หลายครั้งที่เหยื่อกลัวเสียชื่อเสียง จึงยอมทำตาม
แต่การขู่กรรโชกมักไม่จบสิ้นเพียงแค่นั้น มิจฉาชีพมักจะมีข้อเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้น เช่น ขอให้ส่งภาพไปให้อีก ขอสนุกกันผ่านทางหน้ากล้องอีก ไปจนถึงการนัดพบและบังคับให้เหยื่อยอมมีอะไรด้วย และแน่นอนว่าหากเหยื่อหลงเชื่อก็จะนำไปสู่การสูญเสียที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพหลุดมากขึ้น เสียชื่อเสียงมากขึ้น เสียเงินมากขึ้น เสียตัวเพราะพลาดไปนัดพบ ซ้ำร้ายอาจถูกอัดคลิปโดนข่มขืนกระทำชำเราหรืออะไรที่ร้ายแรงกว่าเดิม และเกิดความเสียหายทางจิตใจคือการที่เหยื่อรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ทำผิด ถูกประจาน เกิดความหวาดระแวง และเกิดบาดแผลขึ้นในจิตใจ
การป้องกันการขู่กรรโชกทางเพศ ทำได้ตั้งแต่ การพิจารณาเลือกรับเพื่อนบนโลกออนไลน์เข้ามาในชีวิต ให้ระมัดระวังการถูกหลอกลวง แม้บางครั้งจะเป็นเพื่อนของเพื่อนก็ควรตรวจสอบดูให้แน่ชัดเสียก่อนว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ และเป็นเพื่อนจริง ๆ หรือไม่ เมื่อรับเพื่อนแปลกหน้าแล้ว การพูดคุยและส่งรูปอะไรก็ตามควรคิดให้รอบคอบเสียก่อน
จำไว้ว่าไม่ควรส่งภาพส่วนตัวไปให้ใครดูทางออนไลน์ทั้งนั้น เพราะต่อให้เป็นเพื่อนรักหรือคนรักกัน วันหนึ่งเมื่อเลิกราหรือทะเลาะกัน คลิปหรือรูปภาพส่วนตัวก็อาจถูกนำมาแฉได้ทุกเมื่อแม้ว่าเพื่อนหรือคนรักเราจะไม่ได้เป็นมิจฉาชีพก็ตาม
เมื่อตกเป็นเหยื่อ Sextortion ควรทำอย่างไร
หากตกเป็นเหยื่อไปแล้ว ไม่ควรส่งเงินหรือทำตามที่มิจฉาชีพบังคับให้ทำ เพราะจะยิ่งทำให้มิจฉาชีพได้เครื่องมือในการขู่กรรโชกเพิ่มขึ้นไปอีก ควรปรึกษาคนที่เราไว้วางใจและสามารถช่วยเหลือเราได้ เก็บรวบรวมข้อมูลการขู่กรรโชก ชื่อบัญชีและรายละเอียดของคนที่ขู่กรรโชกเราไว้เพื่อแจ้งความดำเนินคดี นอกจากเพื่อป้องกันตัวเองแล้ว ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกเป็นเหยื่อได้อีกด้วย
การเก็บหลักฐานเพื่อแจ้งความดำเนินคดี
ในการเก็บหลักฐานเพื่อแจ้งความ ให้เก็บข้อมูลหรือข้อความที่พูดคุยกันทั้งหมด เก็บรูปโพรไฟล์ ชื่อบัญชี หรือ ID ต่าง ๆ อะไรก็ตามที่แสดงหรือยืนยันตัวตนของมิจฉาชีพผ่านทางช่องทางการติดต่อต่าง ๆ บันทึกรูปภาพหรือคลิปที่ถูกนำไปใช้ หากเหยื่อเคยโอนเงินให้คนร้ายแล้ว ให้เก็บหลักฐานการโอนเงินไว้ด้วย ทั้งหมายเลขโทรศัพท์ เลขที่บัญชี และชื่อเจ้าของบัญชี แล้วนำเอกสารทั้งหมดไปแจ้งที่
กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อาคาร B ชั้น 4 ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โทร. 0 2142 2556 อีเมล :
[email protected]
การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
หากเจอรูปภาพ/คลิปส่วนตัวของเราถูกเผยแพร่ออกไปในสื่อออนไลน์ เบื้องต้นให้หาวิธีแจ้งลบ เช่น เฟซบุ๊ก หรือ ยูทูบ สามารถคลิกแจ้งลบด้วยตนเองได้ หากพบในเว็บไซต์ใดก็ควรแจ้งให้ผู้ดูแลเว็บไซต์นั้นช่วยลบ โดยอาจต้องแสดงหลักฐานประกอบว่า เราคือผู้เสียหายจริง ๆ ในกรณีที่เป็นสื่อลามกอนาจารเด็กสามารถแจ้งได้ที่เว็บไซต์
www.ThaiHotline.org
ในด้านการเยียวยาความเสียหายทางจิตใจ คนใกล้ชิดมีส่วนสำคัญอย่างมากในการให้กำลังใจ การไม่ซ้ำเติมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเหยื่อ ชวนทำกิจกรรมสร้างสรรค์ แบ่งปัน อาจเป็นงานอาสาสมัครที่ทำให้เหยื่อรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง ไม่โทษตนเอง มีจิตใจที่เข้มแข็งสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข
ดาวน์โหลดอินโฟกราฟิก ได้จาก
มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย
คดีส่งข้อความทางผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ขู่เข็ญให้จ่ายเงิน แลกกับการเปิดเผยความลับรูปภาพและวิดีโอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2561
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยนำภาพและวิดีโอลามกส่งเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ส่งให้บุตรสาวโจทก์ดูเพื่อประจานโจทก์ ซึ่งมีเพียงจำเลยและบุตรสาวโจทก์เท่านั้นที่มีรหัสในการเข้าดู ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าดูได้หากไม่ทราบรหัส จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4)
จำเลยส่งข้อความทางผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตถึงโจทก์หลายครั้ง ขู่เข็ญโจทก์ให้จ่ายเงินจำเลย มิเช่นนั้นจะเปิดเผยความลับรูปภาพและวิดีโอที่โจทก์ไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายอื่น ในขณะที่ยังไม่ได้หย่าขาดจากจำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหายครบองค์ประกอบความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินให้ตามที่จำเลยขู่เข็ญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 326, 338 ประกอบมาตรา 80, 90, 91 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ให้ยึดและทำลายเครื่องคอมพิวเตอร์ไฟล์วิดีโอของจำเลย กับแหล่งข้อมูลที่จำเลยทำสำเนาไว้อันมีข้อความหมิ่นประมาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 338 ประกอบมาตรา 80 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 ให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 326, 338 ประกอบมาตรา 80 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามรีดเอาทรัพย์ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก, 338 ประกอบมาตรา 80 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นนี้ว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยจดทะเบียนสมรสกันที่ประเทศเดนมาร์ก มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน โจทก์มีลูกติด 1 คน คือ นางสาว ซ. ภายหลังสมรสแล้วโจทก์และจำเลยร่วมกันประกอบธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านการจำหน่ายเครื่องเฟอร์นิเจอร์ และนำเงินรายได้จากการประกอบธุรกิจเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประมาณเดือนกรกฎาคม 2558 โจทก์และจำเลยแยกกันอยู่ โจทก์มีคนรักใหม่ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2558 จำเลยส่งข้อความผ่านทางอินเตอร์เน็ต โปรแกรมสไกป์ถึงโจทก์ ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2558 และวันที่ 24 กันยายน 2558 จำเลยส่งข้อความถึงโจทก์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต โปรแกรมแอปพลิเคชั่นไลน์ เพื่อให้โจทก์มอบเงินให้จำเลย แต่โจทก์ไม่ได้ส่งมอบเงินให้จำเลย ครั้นวันที่ 26 กันยายน 2558 จำเลยส่งภาพถ่ายโจทก์เปลือยกายอยู่กับผู้ชายบนเตียงนอน และวิดีโอบันทึกภาพดังกล่าวทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ถึงนางสาว ซ. บุตรสาวโจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า คำฟ้องของโจทก์ข้อหาพยายามรีดเอาทรัพย์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ข้อหาพยายามรีดเอาทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยพยายามขู่เข็ญโจทก์โดยการสนทนาผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโปรแกรมสไกป์ เป็นภาษาเดนมาร์ก ใจความว่า จำเลยต้องการเงิน 100,000 ดอลล่าร์ฮ่องกง หากโจทก์ไม่โอนเงินให้แก่จำเลย จำเลยจะเปิดเผยความลับ โดยการเผยแพร่รูปโจทก์กับนาย ฟ. และวิดีโอที่โจทก์มีเพศสัมพันธ์กับคนไทย
ภายหลังจำเลยไม่ได้เงินตามที่ขู่เข็ญ จำเลยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหว (วิดีโอ) ที่มีลักษณะอันลามกซึ่งปรากฏโจทก์ร่วมหลับนอนกับชายอื่นลงในระบบคอมพิวเตอร์ อันเป็นการบรรยายฟ้องแล้วว่า ภาพโจทก์กับนาย ฟ. และวิดีโอที่โจทก์มีเพศสัมพันธ์กับคนไทยที่จำเลยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยนั้น เป็นความลับที่จำเลยจะเปิดเผยแล้วทำให้โจทก์เสียหาย ฟ้องของโจทก์ข้อหาพยายามรีดเอาทรัพย์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ทั้งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2524 และ 2898/2545 ที่จำเลยอ้างมาก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงคดีนี้ ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ชัดแจ้งชอบด้วยเหตุผลแล้ว ฎีกาของจำเลยไม่อาจฟังหักล้างเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า คำฟ้องของโจทก์สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4) ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องข้อหานี้ในตอนต้นว่า จำเลยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลประเภทภาพเคลื่อนไหว (วิดีโอ) ที่มีลักษณะอันลามกซึ่งปรากฏโจทก์ร่วมหลับนอนกับชายอื่นอยู่ในวิดีโอดังกล่าว โดยที่จำเลยเป็นผู้กำกับและดำเนินการถ่ายทำวิดีโอนั้นลงในระบบคอมพิวเตอร์เว็บไซต์ เวิลด์ไวล์เว็บดอทจีเมลดอทคอม ซึ่งทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ เนื่องจากเว็บไซด์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นสังคมออนไลน์ที่โยงกับเว็บไซต์อื่น เช่น พลัสดิทกูเกิ้ลดอทคอม เป็นต้น ก็ตาม แต่ตอนท้ายโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ใช้ที่อยู่อิเลคทรอนิกส์ ชื่อ [email protected] ซึ่งเป็นที่อยู่อิเล็กทรอนิกส์ของจำเลย และมีเพียงจำเลยเท่านั้นที่รู้รหัสผ่านเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าวส่งไปยังบุตรสาวของโจทก์เพื่อประจานการกระทำของโจทก์ที่ร่วมหลับนอนกับชายอื่น ซึ่งจากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าการที่จำเลยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามกดังกล่าวนั้น ประชาชนทั่วไปไม่อาจเข้าถึงได้หากไม่รู้รหัสผ่านของจำเลยเพื่อเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์นั้น ทั้งการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะอันลามกนี้ ก็เป็นการส่งในลักษณะเฉพาะเจาะจงไปยังบุตรสาวของโจทก์เท่านั้น มิได้เป็นการเผยแพร่แก่ประชาชนทั่วไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยตามคำฟ้องของโจทก์ จึงไม่อาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4) ได้ ฟ้องของโจทก์สำหรับข้อหานี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4) มาด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์และความผิดต่อเสรีภาพหรือไม่ เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้วินิจฉัยว่า จำเลยส่งข้อความถึงโจทก์หลายครั้งต่อเนื่องกัน ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2558 ครั้งต่อมาเมื่อวันที่ 23 และ 24 กันยายน 2558 ซึ่งจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยเป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าวถึงโจทก์ เมื่อข้อความดังกล่าวสรุปได้ว่า จำเลยต้องการเงิน 100,000 ดอลล่าร์ฮ่องกง หากโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินดังกล่าวให้ จำเลยจะเปิดเผยภาพเปลือยและวิดีโอบันทึกภาพโจทก์ที่มีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นให้นางสาว ซ. ทราบ ซึ่งภาพถ่ายและวิดีโอดังกล่าวนั้นเป็นความลับ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหายครบองค์ประกอบความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินดังกล่าวให้ตามที่จำเลยขู่เข็ญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์ ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยส่งข้อความถึงโจทก์ เพราะจำเลยต้องการเงินในบัญชีธนาคารประเทศฮ่องกง ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์และจำเลยประกอบธุรกิจร่วมกันซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้กึ่งหนึ่งนั้น เห็นว่า หากจำเลยมีสิทธิในเงินดังกล่าว จำเลยก็ชอบที่จะใช้สิทธิตามกฎหมาย โดยการฟ้องขอแบ่งทรัพย์สิน จำเลยหามีสิทธิตามกฎหมายที่จะดำเนินการด้วยตนเองไม่ ทั้งวิธีการที่จำเลยกระทำก็เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย นอกจากนี้ข้อความที่จำเลยส่งถึงโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่า มีข้อความใดที่อ้างถึงการประกอบธุรกิจร่วมกันของจำเลยและโจทก์ รวมทั้งเงินที่จำเลยให้โจทก์ส่งให้ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการประกอบธุรกิจร่วมกันแต่อย่างใดด้วย ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ชัดแจ้งชอบด้วยเหตุผลแล้ว ฎีกาของจำเลยไม่อาจฟังหักล้างเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น สำหรับฎีกาของจำเลยนอกจากนี้ไม่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (4) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามรีดเอาทรัพย์ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
Stop Sextortion หยุด ข่มขู่กรรโชกทางเพศบนโลกไซเบอร์