Digital Trend
- 25 พ.ค. 63
-
5531
-
ปรับไลฟ์สไตล์ชีวิตใหม่รับ New Normal หลังวิกฤตโควิด-19 รอดได้ด้วย Digital Technology
นั่นคือส่วนหนึ่งของมุมมองจาก ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ รองผู้อำนวยการสำนักงาน ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่สะท้อนในวงเสนาออนไลน์ "New Normal ปรับไลฟ์สไตล์ภายหลังวิกฤต COVID-19" ที่จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อระดมความคิด จาก 3 นักคิดรุ่นใหม่ โดยอีก 2 ท่าน ได้แก่
- ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ภาคเทคโนโลยีแห่งเอเชีย Group Chief economist และ MD ของ Sea Limited
- รวิศ หาญอุตสาหะ CEO บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด นักคิดผู้สร้างแรงบันดาลให้ผู้ประกอบธุรกิจบริษัทมีเดีย มิสชั่นทูเดอะมูลบอดแคสต่างๆ
วิกฤตโควิด-19 เปลี่ยนพฤติกรรม แค่ชั่วคราวหรือถาวร
ดร.ชัยชนะ บอกว่า วิกฤตโควิด-19 เป็นเรื่องใกล้ตัว สังคมจึงต้องเตรียมพร้อมหลายเรื่อง ขณะที่หลายหน่วยงาน องค์กร ต่างปรับความคิด พฤติกรรม และวิถีการทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมคนทำงาน มักให้ความสำคัญกับ
Work-Life Balance สร้างสมดุลระหว่างชีวิตงานและชีวิตส่วนตัวเป็นสำคัญ แต่ปัจจุบัน ที่เราทุกคนต่าง Work from Home มีสัดส่วนเวลาของการทำงานและชีวิตส่วนตัวเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน สลับสับเปลี่ยนกันไปตลอดทั้งวัน เกิด
Work-Life Integration ที่ชีวิตการทำงานหลอมรวมกับชีวิตส่วนตัวเป็นหนึ่งเดียว จนเราต้องสร้างวินัยในการทำงาน ท่ามกลางอิสระและความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นจาก Work from Home
จากรูปแบบการทำงานในภาวะวิกฤตที่เปลี่ยนไปนี้ อาจทำให้ความสนใจใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น คนที่ทำงานประจำ พอเห็นความยืดหยุ่นของการทำงานที่บ้าน อาจเปลี่ยนใจมาทำงานฟรีแลนซ์มากขึ้น มีการพัฒนาทักษะของตนเอง มีความเป็นปัจเจกบุคคล (Individualism) มากขึ้น ทั้งหมดล้วนเป็นผลมาจากการทำงานที่บ้าน เพื่อรักษาระยะห่าง ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเห็นได้ชัด ส่วนจะอยู่ถาวรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคนมองเห็นประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด
ขณะที่
ดร.สันติธาร แลกเปลี่ยนว่า นอกจาก Work from Home ที่สร้าง
เศรษฐกิจคนติดบ้าน (From Home Economy) ทำให้ e-Commerce และการทำธุรกรรมทางออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนผู้ประกอบการต่างต้องปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปแล้ว อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ก็คือ คนให้ความสนใจและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและสาธารณสุขมากขึ้น เช่น ให้ความสำคัญกับการล้างมือ การสวมหน้ากากอนามัย หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้การรักษามากยิ่งขึ้น อย่างการรักษาทางไกลเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยต้องรับเชื้อเพิ่ม รวมถึงการมี Health Passport ยกระดับเฝ้าระวังการตรวจคัดกรองโควิด-19
รวิศ สะท้อนในมุมผู้ประกอบการว่า ช่วงนี้หลายองค์กรต้องปรับตัว หันหน้าพึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลนำมาใช้ในการทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เรื่อง
Digital Transformations ที่เคยมีการพูดถึงมาอย่างยาวนานและเกิดขึ้นช้ามาก กลับถูกขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด หรือเกิดขึ้นในพื้นที่ใด เราจะเห็นว่า มันได้ทำหน้าที่ไม่ต่างกัน คือ การกะเทาะแผลของสังคม “ความไม่เสมอภาค (Inequality)” ที่มีอยู่ ให้ลึก กว้างและรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ ที่หลายองค์กรเอกชนต้องกลับมาทบทวนว่า เราจะสามารถช่วยเรื่องนี้ได้อย่างไร...
ผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับช่วงวิกฤตโควิด-19
สำหรับมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์
ดร.สันติธาร บอกว่า ผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1 ต้องอยู่ให้รอด เพราะในระยะนี้ เป็นช่วงที่ประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องสาธารณสุขและชีวิตของคนมากที่สุด โดยต้องเร่งหามาตรการในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อ เช่น ให้คนอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ ปิดกิจการสถานประกอบการชั่วคราว ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องอยู่ให้รอดกับภาระต้นทุนที่ต้องเปิดรับ ต้องกลั้นหายใจ
- ระยะที่ 2 ต้องปรับตัว จากความผิดปกติแบบใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม (New Abnormal) นับเป็นช่วงที่เรากำลังเผชิญอยู่ ซึ่งในระยะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว รัฐผ่อนปรนในธุรกิจบางกลุ่ม ส่งผลให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนั้น ๆ เริ่มกลับมาหายใจได้บ้าง แต่ก็ไม่เต็มปอดมากนัก เพราะเป็นการปลดล็อกแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องปฏิบัติตามที่รัฐกำหนด ส่วนบางธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มสาขาบริการ สถานบันเทิง และท่องเที่ยว ที่ยังไม่ปลดล็อกก็ต้องกลั้นหายใจต่อและนานขึ้น
- ระยะที่ 3 ต้องอยู่ให้ยืน จากความปกติที่ไม่ปกติหลังโควิด-19 (New Normal) เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการต้องตั้งคำถามว่า “โลกหลังโควิดนี้ ยังต้องการเราอยู่หรือไม่” เพราะวิกฤตโควิด-19 เป็นบททดสอบของความจำเป็นครั้งใหญ่ของทุกภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการ ผู้บริโภค ว่าในการดำเนินกิจการต่าง ๆ มีความจำเป็นหรือไม่ อยู่เพื่ออะไร สร้างคุณค่า (Value) อย่างไรให้กับผู้บริโภค ท่ามกลางวิธีการสื่อสาร การติดต่อที่เปลี่ยนไปนี้
ด้านผู้ประกอบการเอง
รวิศ ยอมรับ ในวิกฤตโควิดนี้ ไม่เพียงทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความสำคัญและความจำเป็นของการทำหรือไม่ทำอะไรแล้ว ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการทำธุรกิจ ปรับตัวเข้าสู่ตลาด e-Commerce มากขึ้น ติดต่อลูกค้า B2B (Business-to-Business) กันมากขึ้นด้วยออนไลน์ สามารถสั่งของ เช็กสต๊อกผ่านระบบดิจิทัล เพียงแค่ระบบหลังบ้านต้องเชื่อมต่อข้อมูลกันเท่านั้นเอง ทำให้ธุรกิจมีความโปร่งใสมากขึ้น ดังนั้น เครื่องมือสำคัญที่จะนำพาเราออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ
เทคโนโลยีดิจิทัล และ Mindset ของคนในองค์กร
ETDA กับบทบาทท่ามกลางวิกฤต
ดร.ชัยชนะ แจงว่า ETDA เป็นหนึ่งในหน่วยงานของรัฐ ที่มีการปรับตัวเช่นเดียวกับเอกชน เพราะใช่ว่าโควิดจะกระทบกับเอกชนและประชาชนเท่านั้น แต่รัฐก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ทำให้รัฐต้องปรับตัว
เน้นการเป็นผู้สนับสนุน เพื่อแก้ปัญหาให้อะไรที่ติดขัดในช่วงนี้ สามารถทำต่อไปได้และไม่เป็นภาระของเอกชนหรือประชาชนมากเกินไป เช่น
- ร่วมผลักดันพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 โดยยกเลิกข้อกำหนดบางประกาศในประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อปี 2557 เช่น เรื่องที่ระบุว่าการจัดประชุมออนไลน์ (e-Meeting) อย่างน้อย 1 ใน 3 ขององค์ประชุมจะต้องอยู่ในที่ประชุมเดียวกัน และผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดจะต้องอยู่ในประเทศขณะที่มีการประชุม ซึ่งด้วยสภาพของวิกฤตโควิด-19 ทำได้ยาก (ดูต่อ ที่นี่)
- อำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการนำส่งใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ให้กรมสรรพากร ผ่าน Service Provider หรือผู้ให้บริการที่จะเป็นผู้ช่วยในการจัดการและนำส่งเอกสารแทนผู้ประกอบการ โดยไม่ต้องลงทุนหรือพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตนเอง ซึ่ง ETDA ก็ได้เข้าไปสนับสนุนในเรื่องของการวางมาตรฐานและการตรวจประเมินรับรองมาตรฐานระบบสารสนเทศของ Service Provider ให้มีความน่าเชื่อถือ มั่นคงปลอดภัยด้วย (ดูต่อ ที่นี่)
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของความพยายามในการดำเนินงานของรัฐ เพื่อช่วยให้การดำเนินกิจการของเอกชนและประชาชนสามารถดำเนินการได้และขับเคลื่อนได้จริง ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ซึ่งใช่ว่ารัฐจะเพิ่งมาปรับตัว เพราะก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การผลักดันกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัล
นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ที่ได้วางโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล เช่น กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ขยายเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังทุกพื้นที่ ก่อนที่โควิด-19 จะเกิดขึ้น กระทรวงฯ ยังได้ประสานความร่วมมือกับ
กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ในการลดค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้ประเทศไทยมีโครงการสร้างพื้นฐานรองรับเทคโนโลยีดิจิทัลที่ได้นำมาใช้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 นี้ ทำให้สามารถ Work from Home ทำงาน ทำธุรกิจ สอน และเรียนผ่านทางออนไลน์ได้
นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐได้วางไว้ จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเน้นย้ำและให้ความสำคัญ คือก้าวต่อไป
รัฐจะทำอย่างไรให้ประชาชนที่เข้าถึงสามารถมีความเข้าใจในเทคโนโลยีดิจิทัล หรือ Digital Literacy ทั้งการใช้งานเป็น สามารถสร้างเนื้อหา หรือแชร์ประสบการณ์สู่การสร้างรายได้ในอนาคตได้ รวมถึงการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อเปิดโอกาสในเรื่องใหม่ ๆ เพื่อให้ภาคเอกชนและประชาชน สามารถปรับตัว อยู่เป็น อยู่ได้และอยู่ยืน ท่ามกลางวิกฤต
“หลายคนคงมองว่ารัฐมีลักษณะการทำงานแบบไซโล (Silo) คือ ทำงานเป็นท่อนๆ ไม่สื่อสารกัน ในอดีตยอมรับว่า เป็นข้อเท็จจริง แต่ที่ผ่านมารัฐพยายามปรับรูปแบบการทำงานมาพอสมควร พยายามที่จะดูแลระบบหลังบ้าน พยายามบูรณาการกระบวนการทำงาน ให้เกิดความคล่องตัว สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนมากที่สุด โดยรบกวนผู้ใช้บริการน้อยที่สุด และทำได้เร็วที่สุด แม้อาจไม่สมบูรณ์มากนัก” ดร.ชัยชนะ กล่าว
ธุรกิจรอดหรือร่วง ช่วงวิกฤตโควิด-19 และหลังจากนี้
ดร.ชัยชนะ กล่าวว่า วิกฤตนี้ได้สร้างข้อจำกัดทางกายภาพโดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง ดังนั้น ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก จนอาจไปไม่รอดช่วงนี้ ได้แก่
- ธุรกิจที่ต้องอาศัยคนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตจำนวนมาก
- ธุรกิจมีสินค้าหรือบริการที่ต้องเข้าถึงลูกค้าทางกายภาพ เช่น ธุรกิจการบิน
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
หนทางที่ทำให้รอดและการถูก Disrupt ลดลง คือ
- ลดกำลังคน ดึงเครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
- จัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ที่ดี มี Vendor ใน Supply Chain มากกว่า 1 ราย และต้องมีความหลากหลาย ทั้งในพื้นที่ สัญชาติ เพื่อกระจายผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
- ปรับการส่งสินค้าและบริการถึงลูกค้าในทุกขั้นตอน ต้องทำผ่านออนไลน์ ปรับตัว ใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น
“จากนี้ ผู้ประกอบการต้องเริ่มคิดต่อแล้วว่า เราจะทำอะไรต่อ ในโลกหลังวิกฤตโควิด-19 เราอยู่ไปทำไม ลูกค้าได้อะไร เราต้องกะเทาะเปลือกเรื่องเหล่านี้ให้ชัด และไม่ใช่แค่การนั่งคิดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องลงมือทำจริง ด้วยความรวดเร็ว เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ ต้องรีบไหวตัวให้ทันเปลี่ยนวิธีลงมือทำใหม่ ซึ่งการทำแบบนี้ไม่เพียงทำให้ผู้ประกอบการรอด แต่ยังสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ รับ New Normal ทำให้เราอยู่รอดได้ยืนยาวด้วย” รวิศ ทิ้งท้าย
วิกฤตโควิด-19 กับการปรับเปลี่ยนชีวิตสู่ New Normal